Cute Angel Blowing Horn
ยินดีต้อนรับ

จัดทำโดย หมู่เรียน 150 KU-SEA's9

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ความงามทางสรีระของผู้หญิงในสังคมไทย

ที่มา : http://teen.mthai.com/variety/59927.html
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ความงามทางสรีระของผู้หญิงในสังคมไทย ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ความงามทางสรีระของผู้หญิงในสังคมไทย และผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ความงามของผู้หญิงในสังคมไทย โดยการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกวดนางสาวไทย ได้แก่ คณะกรรมการตัดสินการประกวดนางสาวไทย ผู้ส่งนางงามเข้าประกวด และนางสาวไทย นอกจากนี้ยังเก็บข้อมูลจากเอกสาร บทความ งานวิจัย และสิ่งพิมพ์อื่นๆ

จากข้อมูลทีได้จากการสัมภาษณ์และวิเคราะห์เอกสาร พบว่า ภาพลักษณ์ความงามทางสรีระของผู้หญิงในสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของการประกวดนางสาวไทยยุคแรก (ปี 2477 - 2497) ประกวดนางงามเพื่อความบันเทิงในงานวันฉลองรัฐธรรมนูญ ยุคที่สอง (ปี 2507 - 2515) ประกวดนางงามเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวมีการติดต่อทางการค้ากับต่างประเทศการประกวดนางสาวไทยยุคหลัง (ปี 2527-2537) มีการเปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโตทางธุรกิจที่มุ่งเน้นความงามที่ได้มาตรฐานตามอย่างตะวันตก ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ความงามทางสรีระของผู้หญิงในสังคมไทย ได้แก่

(1)มาตรฐานความงามในการประกวดนางสาวไทย ประกอบด้วย มาตรฐานความงามในการประกวดนางสาวไทยในอดีตและปัจจุบัน การถ่ายทอดกิจกรรมการประกวดนางสาวไทย กิจกรรมทางสังคมของนางสาวไทย การขยายตัวของการประกวดนางงามไปสู่ภูมิภาค

(2)มาตรฐานความงามของสังคมประกอบด้วยการกำหนดความงามโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประกวดนางสาวไทย กลุ่มบุคคลทั่วไป กลุ่มที่กำหนดมาตรฐานการตัดเย็บเสื้อผ้า และปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ การโฆษณาสินค้าทางสื่อมวลชนผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจที่ใช้ความงามทางเรือนร่างของผู้หญิงเป็นจุดขายสินค้า ผู้หญิงถูกปลูกฝังเรื่องความงามในเชิงอุดมคติที่ว่า ผู้หญิงที่สวยต้องมีสัดส่วนตามมาตรฐานและสามารถเปิดเผยสรีระของตนเองได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดเรื่องคุณค่าความงามของผู้หญิงในระยะยาวได้

บทสัมภาษณ์ของผู้เข้าประกวด กรรมการ และบุคคลทั่วไป

บทสัมภาษณ์ผู้เข้าประกวด


ผู้เข้าประกวดมิสทีนไทยแลนด์ประจำปี 2013 นางสาว กุลนิดา คุ้มรักษ์

1.ทำไมถึงเลือกที่จะเข้าประกวด อย่างแรกเลยเพราะพี่รักและพี่ก็ชอบ เขาบอกกันว่าคนเราจะทำอะไรได้ดี ก็ต่อเมื่อคนเรารักและต้องชอบในสิ่งนั้น พี่ว่าการที่เราประกวดก็เหมือนการเรียนหนังสือแต่มันเป็นการเรียนหนังสืออีกวิชาหนึ่งที่สอนให้เรารู้จักกล้าแสดงออก รู้จักแก้ไขเฉพาะหน้าและที่สำคัญรู้จักการอยู่ในสังคมให้เป็น เพราะสังคมแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน การแสดงออกไม่เหมือนกัน พี่ว่าท้าทายดีค่ะ
2.คำจำกัดความของคำว่า นางงาม”: สำหรับตัวพี่นะ พี่คิดว่านางงามก็เหมือนผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง แต่เขาแค่ไปเป็นตัวแทนทำหน้าที่แทนผู้หญิงทุกๆคน ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนไม่เพียบพร้อมนะและไม่ใช่ผู้หญิงทุกจะเพียบพร้อมเช่นกัน แต่ผู้หญิงแต่ละคนจะแสดงออกแต่ละด้านไม่เหมือนกัน และแสดงกับแต่ละคนไม่เหมือนกันเช่นกัน แต่ถึงยังไงขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงก็ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นนางงามทั้งภายนอกและภายในให้ได้ทุกคน
3.ทัศนคติที่มีต่อนางงาม คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่านางงามโลกสวย แต่ความจริงแล้วไม่มีใครอยากโลกสวยตลอดเวลาหรอก แต่สิ่งที่นางงามทุกคนต้องโลกสวยเพราะว่า 1.) เขาขึ้นชื่อว่าเป็นนางงาม 2.) เขาได้ไปเป็นตัวแทนของผู้หญิงทุกคน และ3.) เพราะมันคือหน้าที่ของนางงาม ใช่ว่าทุกคนที่เป็นนางงามอยากโลกสวย เขาก็อยากทำตามใจ อยากทำอะไรที่เขาอยากทำ แต่ที่สำคัญคือเขาทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่สุด
4.ขั้นตอนการประกวด ขั้นตอนแรกคือ ใจ ลองถามใจเราดูว่าใจเราพร้อมกับทุกๆ อย่างหรือยัง 2.ดูแลตัวเองไม่ว่าจะเข้ารอบไม่เข้ารอบแต่เราควรรู้จักเตรียมพร้อมไว้เสมอ 3.ส่งใบสมัคร และ4.ประกวด ถ้าอายเขินตื่นเต้น ก็คิดซะว่าทำให้เต็มที่ เต็มที่กับการที่เราอุส่าเตรียมพร้อม เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
5.เข้าประกวดแล้วเป็นอย่างที่คิดไหม :  ตอบเลยว่า ไม่ บางคนคิดว่าการประกวดจะเพอร์เฟ็คอย่างที่เห็น แต่ความจริงแล้วมันไม่เลย กว่าจะเข้าแต่ละจุด กว่าจะดึงความโดดเด่นของตัวเองออกมา กว่าจะข้ามผ่านอะไรไปได้ มันยากจริง บางคนอาจคิดว่าการประกวดก็คือการแข่งขัน การแย่งชิง สำหรับพี่ พี่คิดว่ามันคือแบบทดสอบแต่ละก้าว ว่าตัวเองพร้อมมากแค่ไหน


ผู้เข้าประกวดมิสทีนไทยแลนด์ประจำปี 2013 นางสาว เมย์วดี วิวัฒน์ทรงชัย

1.ทำไมถึงเลือกที่จะเข้าประกวด ก็คงเพราะว่าอยากหาประสบการณ์ให้กับชีวิต อยากจะได้เจอเพื่อนใหม่ เรียนรู้วัฒนธรรมของจังหวัดอื่นที่เราเขาได้เข้าไปเก็บตัวในการแข่งขัน และการได้อยู่ร่วมกันในสังคมกับคนกลุ่มใหม่ กับคนที่เราไม่เคยได้รู้จักมาก่อน จะทำให้เราปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมได้มากขึ้น”
2.คำจำกัดความของคำว่า นางงาม” :คิดว่าขึ้นชื่อด้วยนางงามแล้วก็ต้องงามทั้งภายในและภายนอก ภายนอกคือรูปร่างหน้าตาเป็นปัจจัยหนึ่งของนางงามเลย แต่อีกปัจจัยหนึ่งนั่นก็คือภายใน ทัศนคติติ จิตใจ ความคิดของนางงามจะต้องไม่แพ้ลักษณะภายนอก ต้องสวย ต้องเป็นคนที่มีความคิดดี ทัศนคติดี และจะต้องช่วยเหลือผู้อื่นได้ค่ะ
3.ทัศนคติที่มีต่อนางงาม นางงามจะต้องเป็นคนที่สวยตลอดเวลา ยิ้มสวย มีจิตใจดี แต่อีกอย่างที่ สิ่งที่นางงามต้องทำคือต้องดูแลภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดีตลอด จะมีข่าวหรือมีชื่อเสียงไปในทางที่เสียหายไม่ได้ค่ะ
4.ขั้นตอนการประกวด :  ขั้นแรกก็จะประกวดระดับภาค เมื่อเข้ารอบระดับภาคก็จะไปคัดเลือกในระดับประเทศ คัดเลือก 50 คนสุดท้าย เพื่อที่จะประกวดในมิสทีนไทยแลนด์ 2013 ต่อไปค่ะ
5.เข้าประกวดแล้วเป็นอย่างที่คิดไหม ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ทั้งหมดค่ะ ที่คิดไว้คือจะไม่มีเพื่อนแน่เลย เพราะว่าที่เข้าไปแทบจะไม่รู้จักใครสักคน ต่างคนต่างมาจากจังหวัดอื่นทั้งนั้น แต่ว่าก็ต้องมารวมตัว อยู่ด้วยกัน นอนด้วยกัน กินด้วยกัน เลยทำให้จากที่คิดว่าเราต้องมาแข่งขันกันนะ กลายเป็นว่ามันผูกพันช่วงเวลาที่ได้เก็บตัวมันทำให้รู้สึกว่า เอ้ย เขาไม่ใช่คู่แข่งเรานะแต่เขาคือเพื่อนคนหนึ่งเลย ที่เป็นเพื่อนที่ดีคอยดูแลกันคอยช่วยเหลือกันในการประกวดค่ะ เลยทำให้การประกวดในครั้งนั้นเป็นความทรงจำดีๆอย่างหนึ่งเลยค่ะ


ผู้เข้าประกวดมิสทีนไทยแลนด์ประจำปี 2013 นางสาว เบญจวรรณ สุชาติพงศ์

1.ทำไมถึงเลือกที่จะเข้าประกวด :  เพราะอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ
2.คำจำกัดความของคำว่า นางงาม” :นางงามหมายถึงการประกวดหาสาวสวยที่มีความสามารถและฉลาด
3.ทัศนคติที่มีต่อนางงาม ประกวดเพื่อเป็นประสบการณ์ การประกวดนางงามทำให้เรากล้าแสดงออก รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
4.ขั้นตอนการประกวด :  เตรียมการแสดง มีความมั่นใจ ตอบคำถามแบบไตร่ตรองและชัดเจน
5.เข้าประกวดแล้วเป็นอย่างที่คิดไหม :  เป็นอย่างที่คิด คือได้ประสบการณ์ทำให้กล้าแสดงออก


ผู้เข้าประกวด Mizzy Phuket ประจำปี 2013 นางสาว ณัฐณิชย์ อรุณกิจทวีลาภ

1.ทำไมถึงเลือกที่จะเข้าประกวด อยากลองทำอะไรที่ยังไม่เคยทำ เพื่อที่จะได้หาประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น
2.คำจำกัดความของคำว่า นางงาม” ก็ต้องหุ่นดี กล้าพูด กล้าแสดงออก เดินแบบต้องเป๊ะ ทำอะไรก็ต้องมั่นใจทุกอย่าง คือเจออะไรต้องไม่กลัว และพร้อมรับมือได้เสมอภายนอกสวย และภายในก็ต้องสวยเช่นกัน
3.ทัศนคติที่มีต่อนางงาม :  จะต้องเป็นคนที่งามทั้งภายในและภายนอกจริงๆ
4.ขั้นตอนการประกวด :  การรับสมัคร การเก็บตัว ทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนๆ ที่ประกวด ซ้อมเต้นเพื่อโชว์ในวันงาน
5.เข้าประกวดแล้วเป็นอย่างที่คิดไหม : ไม่ค่ะ เพราะสังคมในการประกวดมันกว้าง และก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่คิดไว้


ผู้เข้าประกวดนางนพมาศประจำปี 2014 นางสาว สุดารัตน์ แสงศิวะฤกษ์

1.ทำไมถึงเลือกที่จะเข้าประกวดอยากทำกิจกรรมของมหาลัยสักครั้งหนึ่งในชีวิตบวกกับการมีรุ่นพี่มาชักชวนด้วย
2.คำจำกัดความของคำว่า นางงาม” : นางงามคือไม่ใช่แค่หน้าตาสวยแต่จะต้องมีความสามารถด้วย
3.ทัศนคติที่มีต่อนางงาม คิดว่าถ้าจะเป็นนางงามได้ก็จะต้องเป็นคนที่มีไหวพริบตอบคำถามได้ดีมีความสามารถพิเศษ และเป็นคนดีแม้จะไม่ใช่ตัวตนของเราทั้งหมดก็ตามเพราะว่าพอเราขึ้นไปประกวดบนเวทีมันแน่นอนมันก็ไม่ใช่ตัวเราอยู่แล้วเราต้องทำให้มันเป็นอีกคนหนึ่งให้มันดูเหมือนว่าเป็นคนดีเป็นคนดีของสังคมทั้งที่ตัวเราอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้ซึ่งตัวเราเองก็เป็น
4.ขั้นตอนการประกวดช่วงแรกจะเป็นช่วงเก็บตัวประมาณเกือบ 10 วันได้เขาจะให้ละลายพฤติกรรมโดยการเอาทุกคนที่ประกวดมาจับกลุ่มเล่นเกมส์เพื่อให้เรารู้ว่าใครชื่ออะไรเป็นไงและก็จะมีสอนเดินสอนจับจังหวะสอนไหว้สอนพูดและพอวันท้ายๆก็มีจะพวกนางแบบมาสอนให้ดูให้อีกทีก่อนที่จะขึ้นประกวด
5.เข้าประกวดแล้วเป็นอย่างที่คิดไหม จริงๆก็ไม่ค่อยกลัวการประกวดสักเท่าไรแต่มาเครียดเอาตอนแต่งหน้านี้แหล่ะเพราะแต่งออกมาทำให้รู้สึกขัดใจมากมันหนามาก  แล้วก็ไม่ค่อยโอเคกับเรื่องแต่งหน้าสักเท่าไหร่

 
บทสัมภาษณ์บุคคลทั่วไป

1.ทัศนคติที่มีต่อผู้เข้าประกวดนางงามและถ้าหากมีบุตรหลานจะส่งเข้าประกวดหรือไม่ มีทัศนคติไปในทางที่ดีใครๆก็ประกวดกันถ้ามีลูกหลานไปประกวดก็จะส่งเสริมและไม่ห้ามอะไรเลยค่ะ
2.จากมุมมองภายนอกยังมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวการล็อคตำแหน่งอยู่หรือไม่ ไม่คิดว่ามีการล็อคตำแหน่งค่ะเพราะคิดว่าการประกวดคงเป็นไปแบบยุติธรรมมากกว่าค่ะ
3.ถ้าให้ตัวเองไปประกวดจะไปประกวดหรือไม่ คิดว่าไม่เพราะไม่ได้สวยขนาดนั้นแต่ถ้าสวยขึ้นมาก็อาจจะลองไปประกวดดูเผื่อจะมีโอกาสฟลุคชนะได้รับเงินรางวัลค่ะ” 
ผู้ให้สัมภาษณ์นางสาว กัญญาพรศรีศิลปะกิจ

1.ทัศนคติที่มีต่อผู้เข้าประกวดนางงามและถ้าหากมีบุตรหลานจะส่งเข้าประกวดหรือไม่ ถือเป็นการแสดงออกที่ดีในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยถ้ามีลูกหลานไปประกวดก็จะสนับสนุนค่ะ
2.จากมุมมองภายนอกยังมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวการล็อคตำแหน่งอยู่หรือไม่ ไม่มีความเห็นในส่วนนั้นเพราะไม่รู้จริงๆค่ะ
3.ถ้าให้ตัวเองไปประกวดจะไปประกวดหรือไม่ :  ไม่เพราะชอบชีวิตที่เรียบง่ายไม่ต้องการเป็นที่สนใจของคนอื่น
ผู้ให้สัมภาษณ์นาง ชฏารัตน์บูรณ์เจริญ

1.ทัศนคติที่มีต่อผู้เข้าประกวดนางงามและถ้าหากมีบุตรหลานจะส่งเข้าประกวดหรือไม่ คนที่ประกวดนางงามต้องเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเองและมีความสามารถถ้าหากมีลูกเข้าไปประกวดก็จะสนับสนุน เพราะถือว่าเป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งของลูก
2.จากมุมมองภายนอกยังมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวการล็อคตำแหน่งอยู่หรือไม่ จากมุมมองของคนภายนอกยังมองว่ามีการล๊อคตำแหน่งในกับนางงามที่ใช้เส้นสายในการประกวดส่วนเรื่องชู้สาวนั้นไม่ขอแสดงความคิดเห็นเพราะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
3.ถ้าให้ตัวเองไปประกวดจะไปประกวดหรือไม่ ไม่เพราะไม่มีความมั่นใจในตนเองและยังสนในเรื่องการประกวดไม่มากพอ” 
ผู้ให้สัมภาษณ์นาง อัจฉราวัฒนอุดมสุข

1.ทัศนคติที่มีต่อผู้เข้าประกวดนางงามและถ้าหากมีบุตรหลานจะส่งเข้าประกวดหรือไม่ ถ้าเขาอยากประกวดก็จะส่งและสนับสนุนไม่ใช่อยู่ๆไปส่งโดยไม่ถามความสมัครใจค่ะ
2.จากมุมมองภายนอกยังมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวการล็อคตำแหน่งอยู่หรือไม่ คิดว่ามันก็น่าจะมีนิดหนึ่งซึ่งก็ต้องมีบ้างจะบริสุทธิ์เสมอไปก็คงจะไม่ใช่ค่ะ
3.ถ้าให้ตัวเองไปประกวดจะไปประกวดหรือไม่ ไม่ไปประกวดค่ะเพราะรู้สึกว่าไม่ใช่แนวตัวเองคงจะต้องมีการแอบเสแสร้งนิดหนึ่งเช่นคอยสวัสดีค่ะตลอด
ผู้ให้สัมภาษณ์ นางสาว ปทิตตาเรียกศิริ

บทสัมภาษณ์ผู้จัดการประกวด

1.ใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสิน การประกวดรอบแรกอาจจะเป็นการให้คะแนนของรูปร่างหน้าตา 30 คะแนนการแต่งกายถูกต้องตามหลักเกณฑ์ 25 คะแนน บุคลิกภาพ 25 คะแนนแล้วการเดินบนเวที ความสง่างาม อีก 20 คะแนนส่วนในรอบตัดสินจะให้คะแนนจากการสัมภาษณ์ คือคะแนนไหวพริบปฏิภาณการตอบคำถามตรงประเด็น
2.หากใช้เงินซื้อตำแหน่งผู้ชนะในการประกวด จะยอมทำหรือไม่ ไม่น่าจะมี เพราะถ้ามีการล็อคตำแหน่ง อาจส่งผลอื้อฉาวได้ และจะต้องมีคนไม่ยอม มีคนประท้วง ซึ่งตัวผู้จัดก็จะพลอยเสียชื่อเสียง เสียเครดิตด้านความน่าเชื่อถือไปด้วย
3.ทำไมการประกวดตัดสินผู้ชนะ ถึงไม่ใช้เกณฑ์การตัดสินจากคณะกรรมการเพียงอย่างเดียว ทำไมจึงต้องมีการโหวตหรือซื้อลูกโปร่งให้คะแนน สาเหตุที่บางเหตุมีการขายลูกโป่งเพราะอาจมีการหารายได้ให้กับผู้จัดการประกวดและก็เพื่อเพิ่มสีสันให้กับงานซึ่งก็เช่นเดียวกันกับการโหวตให้คะแนน
กรรมการการประปวดผู้ให้สัมภาษณ์ นาง นงลักษณ์ อุยสุย

ทัศนคติของคนไทยต่อการประกวดนางงาม


ที่มา : http://www.manager.co.th/Entertainment/

ทัศนะคติของผู้ที่เป็นพี่เลี้ยงนางงาม

"ถ้าไม่ได้มาอยู่กับป้า เขาอาจทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัดหรือถูกหลอกไปขายไปอยู่ในตู้กระจก เพราะความจำเป็นทางบ้าน อาจจะไม่ได้มาถึงจุดนี้ ไม่ได้มาเรียนจนจบปริญญาตรี ตอนนี้หลายคนได้ดีพ่อแม่มีหน้ามีตา ไม่อับอายขายหน้าเขา บางคนก็ได้เป็นลูกดีเด่น เพราะกตัญญูต่อครอบครัว ได้เป็นคุณหญิงคุณนาย มีตัวอย่างที่เขาได้สามีดี ๆ ได้สินสอดตั้งหลายล้าน ช่วยสามีหาเสียงได้อีกด้วย บางคนได้ไปอยู่ต่างประเทศ แล้วยังกลับมาช่วยป้าอีก ป้าก็ชื่นใจ ภูมิใจ การประกวดถือเป็นการให้โอกาส ให้เขาได้เจออะไรที่กว้างไกลขึ้นไป"
 
ที่มา : http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9540000122955

ทัศนะคติของรศ.วิทยาลัย

"ผมคิดว่าเหตุผลหลักจริง ๆ ของการเข้าประกวด คือต้องการเข้าสู่วงการบันเทิง ต้องการสร้างอาชีพใหม่ ให้แก่ตัวเอง ต้องการมีชื่อเสียง ต้องการให้คนยอมรับ คนที่คิดว่า ถ้าเป็นแค่นักศึกษาธรรมดา ไม่เข้าประกวด จะไม่สามารถ ทำให้คนอื่นยอมรับได้นั้น คิดผิด จริง ๆ แล้ว ถ้าตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้มีความเชี่ยวชาญ ทางด้านใดด้านหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็จะมีคนยอมรับเอง วิธีการประกวดนางงาม เป็นหนทางหนึ่งเท่านั้น และดูแล้ว มันก็ไม่ใช่ทางที่นักศึกษา ควรจะกระทำนักหรอก

"ผมยังเชื่อในหลักการว่า การเรียนหนังสือ คือการสร้างพื้นฐานในชีวิต ถ้าไม่เรียนหนังสือ ก็ต้องหาประสบการณ์ในอาชีพ อันนั้นเป็นความยั่งยืนที่สุด มีอาชีพเชี่ยวชาญทางใดทางหนึ่ง ทำจนมีคนยอมรับในฝีมือ