จากการจัดทำโครงงานพบว่า
ประวัติของการประกวดนางงามในประเทศไทย มีมาตั้งแต่ในสมัยรัชการที่ 7 เรียกว่า "นางสาวสยาม" รัฐบาลได้จัดขึ้นในงานเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญ ภายในพระราชอุทยานสราญรมย์ ซึ่งเป็นสโมสรคณะราษฎร
ในปี พ.ศ.2477 จัดขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
และยังคงสืบทอดมาจนถึงในปัจจุบัน ซึ่งวัตถุประสงค์จะเปลี่ยนไปตามแต่ละยุคสมัย
นอกจากนี้ในปัจจุบัน ประเทศไทยยังมีเวทีการประกวดนางงามหลากหลายเวทีอีกด้วย
ทางด้านการศึกษาทัศนะคตินั้น ทำให้ผู้จัดทำได้ทราบว่าบุคคลภายนอกส่วนหนึ่งนั้นมองนางงามเป็นเพียงแค่ความฉาบฉวย
เป็นหนทางลัดแห่งความสำเร็จเท่านั้น
และยังมองว่าการศึกษานั้นเป็นหนทางของความสำเร็จที่มั่นคงมากกว่าการประกวดนางงาม
แต่ตรงกันข้ามกับทัศนะคติของผู้ที่เกี่ยวข้องกับนางงาม จะมีทัศนะคติที่ดีกับนางงามเนื่องจากได้มีความใกล้ชิด
รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของตัวนางงาม
และมองการประกวดนางงามนี้เป็นโอกาศที่จะทำให้ชีวิตของผู้เข้าประกวดดีขึ้นกว่าเดิม
แต่ในทัศนะคติเกี่ยวกับการประกวดนางงามที่มีความขัดแย้งกันนี้
ก็มีทัศนะคติที่ตรงกันคือ “ การประกวดนางงามนั้นเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ
”
ด้านทัศนะคติเกี่ยวกับความงามในอุดมคตินั้น
ผู้จัดทำได้สืบค้นข้อมูลจากงานวิจัย ปี พ.ศ. 2537 เรื่อง
กระบวนการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ความงามทางสรีระของผู้หญิงในสังคมไทยศึกษาเฉพาะกรณีการประกวดนางสาวไทย
โดย อาจารย์อังคเรศ บุญทองล้วน ที่กล่าวว่า “
ภาพลักษณ์ความงามทางสรีระของผู้หญิงในสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของการประกวดนางสาวไทย
” และ “ ผู้หญิงถูกปลูกฝังเรื่องความงามในเชิงอุดมคติที่ว่า
ผู้หญิงที่สวยต้องมีสัดส่วนตามมาตรฐานและสามารถเปิดเผยสรีระของตนเองได้ ” ทำให้สรุปได้ว่าความงามในอุดมคตินั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
และเวทีการประกวดนางงามนั้นก็มีผลต่อความงามในอุดมคติในสมัยนั้นๆ อีกด้วย
เพียงแต่ความงามในอุดมคตินั้นเป็นทัศนะคติที่ไม่มั่นคง
ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและแตกต่างกันตามแต่ละสังคม