บทสัมภาษณ์ผู้เข้าประกวด
ผู้เข้าประกวดมิสทีนไทยแลนด์ประจำปี
2013 นางสาว กุลนิดา คุ้มรักษ์
1.ทำไมถึงเลือกที่จะเข้าประกวด : “อย่างแรกเลยเพราะพี่รักและพี่ก็ชอบ
เขาบอกกันว่าคนเราจะทำอะไรได้ดี ก็ต่อเมื่อคนเรารักและต้องชอบในสิ่งนั้น
พี่ว่าการที่เราประกวดก็เหมือนการเรียนหนังสือแต่มันเป็นการเรียนหนังสืออีกวิชาหนึ่งที่สอนให้เรารู้จักกล้าแสดงออก
รู้จักแก้ไขเฉพาะหน้าและที่สำคัญรู้จักการอยู่ในสังคมให้เป็น
เพราะสังคมแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน การแสดงออกไม่เหมือนกัน พี่ว่าท้าทายดีค่ะ”
2.คำจำกัดความของคำว่า “นางงาม”: “สำหรับตัวพี่นะ
พี่คิดว่านางงามก็เหมือนผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง แต่เขาแค่ไปเป็นตัวแทนทำหน้าที่แทนผู้หญิงทุกๆคน
ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนไม่เพียบพร้อมนะและไม่ใช่ผู้หญิงทุกจะเพียบพร้อมเช่นกัน
แต่ผู้หญิงแต่ละคนจะแสดงออกแต่ละด้านไม่เหมือนกัน
และแสดงกับแต่ละคนไม่เหมือนกันเช่นกัน
แต่ถึงยังไงขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงก็ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นนางงามทั้งภายนอกและภายในให้ได้ทุกคน”
3.ทัศนคติที่มีต่อนางงาม : “คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่านางงามโลกสวย
แต่ความจริงแล้วไม่มีใครอยากโลกสวยตลอดเวลาหรอก
แต่สิ่งที่นางงามทุกคนต้องโลกสวยเพราะว่า 1.)
เขาขึ้นชื่อว่าเป็นนางงาม 2.)
เขาได้ไปเป็นตัวแทนของผู้หญิงทุกคน และ3.)
เพราะมันคือหน้าที่ของนางงาม ใช่ว่าทุกคนที่เป็นนางงามอยากโลกสวย เขาก็อยากทำตามใจ
อยากทำอะไรที่เขาอยากทำ แต่ที่สำคัญคือเขาทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่สุด”
4.ขั้นตอนการประกวด : “ขั้นตอนแรกคือ ใจ
ลองถามใจเราดูว่าใจเราพร้อมกับทุกๆ อย่างหรือยัง 2.ดูแลตัวเองไม่ว่าจะเข้ารอบไม่เข้ารอบแต่เราควรรู้จักเตรียมพร้อมไว้เสมอ
3.ส่งใบสมัคร และ4.ประกวด
ถ้าอายเขินตื่นเต้น ก็คิดซะว่าทำให้เต็มที่ เต็มที่กับการที่เราอุส่าเตรียมพร้อม
เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”
5.เข้าประกวดแล้วเป็นอย่างที่คิดไหม : “ตอบเลยว่า ไม่ บางคนคิดว่าการประกวดจะเพอร์เฟ็คอย่างที่เห็น
แต่ความจริงแล้วมันไม่เลย กว่าจะเข้าแต่ละจุด กว่าจะดึงความโดดเด่นของตัวเองออกมา
กว่าจะข้ามผ่านอะไรไปได้ มันยากจริง บางคนอาจคิดว่าการประกวดก็คือการแข่งขัน
การแย่งชิง สำหรับพี่ พี่คิดว่ามันคือแบบทดสอบแต่ละก้าว ว่าตัวเองพร้อมมากแค่ไหน”
ผู้เข้าประกวดมิสทีนไทยแลนด์ประจำปี 2013 นางสาว เมย์วดี วิวัฒน์ทรงชัย
1.ทำไมถึงเลือกที่จะเข้าประกวด : “ก็คงเพราะว่าอยากหาประสบการณ์ให้กับชีวิต อยากจะได้เจอเพื่อนใหม่ เรียนรู้วัฒนธรรมของจังหวัดอื่นที่เราเขาได้เข้าไปเก็บตัวในการแข่งขัน
และการได้อยู่ร่วมกันในสังคมกับคนกลุ่มใหม่ กับคนที่เราไม่เคยได้รู้จักมาก่อน
จะทำให้เราปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมได้มากขึ้น”
2.คำจำกัดความของคำว่า
“นางงาม” : “คิดว่าขึ้นชื่อด้วยนางงามแล้วก็ต้องงามทั้งภายในและภายนอก
ภายนอกคือรูปร่างหน้าตาเป็นปัจจัยหนึ่งของนางงามเลย
แต่อีกปัจจัยหนึ่งนั่นก็คือภายใน ทัศนคติติ จิตใจ
ความคิดของนางงามจะต้องไม่แพ้ลักษณะภายนอก ต้องสวย ต้องเป็นคนที่มีความคิดดี
ทัศนคติดี และจะต้องช่วยเหลือผู้อื่นได้ค่ะ”
3.ทัศนคติที่มีต่อนางงาม
: “นางงามจะต้องเป็นคนที่สวยตลอดเวลา
ยิ้มสวย มีจิตใจดี แต่อีกอย่างที่
สิ่งที่นางงามต้องทำคือต้องดูแลภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดีตลอด
จะมีข่าวหรือมีชื่อเสียงไปในทางที่เสียหายไม่ได้ค่ะ”
4.ขั้นตอนการประกวด : “ขั้นแรกก็จะประกวดระดับภาค
เมื่อเข้ารอบระดับภาคก็จะไปคัดเลือกในระดับประเทศ คัดเลือก 50 คนสุดท้าย
เพื่อที่จะประกวดในมิสทีนไทยแลนด์ 2013 ต่อไปค่ะ”
5.เข้าประกวดแล้วเป็นอย่างที่คิดไหม
: “ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ทั้งหมดค่ะ
ที่คิดไว้คือจะไม่มีเพื่อนแน่เลย เพราะว่าที่เข้าไปแทบจะไม่รู้จักใครสักคน
ต่างคนต่างมาจากจังหวัดอื่นทั้งนั้น แต่ว่าก็ต้องมารวมตัว อยู่ด้วยกัน นอนด้วยกัน
กินด้วยกัน เลยทำให้จากที่คิดว่าเราต้องมาแข่งขันกันนะ กลายเป็นว่ามันผูกพันช่วงเวลาที่ได้เก็บตัวมันทำให้รู้สึกว่า
เอ้ย เขาไม่ใช่คู่แข่งเรานะแต่เขาคือเพื่อนคนหนึ่งเลย
ที่เป็นเพื่อนที่ดีคอยดูแลกันคอยช่วยเหลือกันในการประกวดค่ะ
เลยทำให้การประกวดในครั้งนั้นเป็นความทรงจำดีๆอย่างหนึ่งเลยค่ะ”
ผู้เข้าประกวดมิสทีนไทยแลนด์ประจำปี
2013 นางสาว เบญจวรรณ สุชาติพงศ์
1.ทำไมถึงเลือกที่จะเข้าประกวด :
“เพราะอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ”
2.คำจำกัดความของคำว่า “นางงาม”
: “นางงามหมายถึงการประกวดหาสาวสวยที่มีความสามารถและฉลาด”
3.ทัศนคติที่มีต่อนางงาม : “ประกวดเพื่อเป็นประสบการณ์
การประกวดนางงามทำให้เรากล้าแสดงออก รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์”
4.ขั้นตอนการประกวด :
“เตรียมการแสดง มีความมั่นใจ ตอบคำถามแบบไตร่ตรองและชัดเจน”
5.เข้าประกวดแล้วเป็นอย่างที่คิดไหม :
“เป็นอย่างที่คิด คือได้ประสบการณ์ทำให้กล้าแสดงออก”
ผู้เข้าประกวด
Mizzy Phuket ประจำปี 2013
นางสาว ณัฐณิชย์ อรุณกิจทวีลาภ
1.ทำไมถึงเลือกที่จะเข้าประกวด : “อยากลองทำอะไรที่ยังไม่เคยทำ
เพื่อที่จะได้หาประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น”
2.คำจำกัดความของคำว่า
“นางงาม” : “ก็ต้องหุ่นดี กล้าพูด กล้าแสดงออก เดินแบบต้องเป๊ะ
ทำอะไรก็ต้องมั่นใจทุกอย่าง คือเจออะไรต้องไม่กลัว และพร้อมรับมือได้เสมอภายนอกสวย
และภายในก็ต้องสวยเช่นกัน”
3.ทัศนคติที่มีต่อนางงาม : “จะต้องเป็นคนที่งามทั้งภายในและภายนอกจริงๆ”
4.ขั้นตอนการประกวด
: “การรับสมัคร
การเก็บตัว ทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนๆ ที่ประกวด ซ้อมเต้นเพื่อโชว์ในวันงาน”
5.เข้าประกวดแล้วเป็นอย่างที่คิดไหม
: “ไม่ค่ะ
เพราะสังคมในการประกวดมันกว้าง และก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่คิดไว้”
ผู้เข้าประกวดนางนพมาศประจำปี 2014 นางสาว สุดารัตน์ แสงศิวะฤกษ์
1.ทำไมถึงเลือกที่จะเข้าประกวด : “อยากทำกิจกรรมของมหาลัยสักครั้งหนึ่งในชีวิตบวกกับการมีรุ่นพี่มาชักชวนด้วย”
2.คำจำกัดความของคำว่า “นางงาม”
: “นางงามคือไม่ใช่แค่หน้าตาสวยแต่จะต้องมีความสามารถด้วย”
3.ทัศนคติที่มีต่อนางงาม : “คิดว่าถ้าจะเป็นนางงามได้ก็จะต้องเป็นคนที่มีไหวพริบตอบคำถามได้ดีมีความสามารถพิเศษ
และเป็นคนดีแม้จะไม่ใช่ตัวตนของเราทั้งหมดก็ตามเพราะว่าพอเราขึ้นไปประกวดบนเวทีมันแน่นอนมันก็ไม่ใช่ตัวเราอยู่แล้วเราต้องทำให้มันเป็นอีกคนหนึ่งให้มันดูเหมือนว่าเป็นคนดีเป็นคนดีของสังคมทั้งที่ตัวเราอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้ซึ่งตัวเราเองก็เป็น”
4.ขั้นตอนการประกวด : “ช่วงแรกจะเป็นช่วงเก็บตัวประมาณเกือบ
10 วันได้เขาจะให้ละลายพฤติกรรมโดยการเอาทุกคนที่ประกวดมาจับกลุ่มเล่นเกมส์เพื่อให้เรารู้ว่าใครชื่ออะไรเป็นไงและก็จะมีสอนเดินสอนจับจังหวะสอนไหว้สอนพูดและพอวันท้ายๆก็มีจะพวกนางแบบมาสอนให้ดูให้อีกทีก่อนที่จะขึ้นประกวด”
5.เข้าประกวดแล้วเป็นอย่างที่คิดไหม : “จริงๆก็ไม่ค่อยกลัวการประกวดสักเท่าไรแต่มาเครียดเอาตอนแต่งหน้านี้แหล่ะเพราะแต่งออกมาทำให้รู้สึกขัดใจมากมันหนามาก
แล้วก็ไม่ค่อยโอเคกับเรื่องแต่งหน้าสักเท่าไหร่”
บทสัมภาษณ์บุคคลทั่วไป
1.ทัศนคติที่มีต่อผู้เข้าประกวดนางงามและถ้าหากมีบุตรหลานจะส่งเข้าประกวดหรือไม่ : “มีทัศนคติไปในทางที่ดีใครๆก็ประกวดกันถ้ามีลูกหลานไปประกวดก็จะส่งเสริมและไม่ห้ามอะไรเลยค่ะ”
2.จากมุมมองภายนอกยังมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวการล็อคตำแหน่งอยู่หรือไม่ : “ไม่คิดว่ามีการล็อคตำแหน่งค่ะเพราะคิดว่าการประกวดคงเป็นไปแบบยุติธรรมมากกว่าค่ะ”
3.ถ้าให้ตัวเองไปประกวดจะไปประกวดหรือไม่
: “คิดว่าไม่เพราะไม่ได้สวยขนาดนั้นแต่ถ้าสวยขึ้นมาก็อาจจะลองไปประกวดดูเผื่อจะมีโอกาสฟลุคชนะได้รับเงินรางวัลค่ะ”
ผู้ให้สัมภาษณ์นางสาว
กัญญาพรศรีศิลปะกิจ
1.ทัศนคติที่มีต่อผู้เข้าประกวดนางงามและถ้าหากมีบุตรหลานจะส่งเข้าประกวดหรือไม่
: “ถือเป็นการแสดงออกที่ดีในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยถ้ามีลูกหลานไปประกวดก็จะสนับสนุนค่ะ”
2.จากมุมมองภายนอกยังมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวการล็อคตำแหน่งอยู่หรือไม่
: “ไม่มีความเห็นในส่วนนั้นเพราะไม่รู้จริงๆค่ะ”
3.ถ้าให้ตัวเองไปประกวดจะไปประกวดหรือไม่
: “ไม่เพราะชอบชีวิตที่เรียบง่ายไม่ต้องการเป็นที่สนใจของคนอื่น”
ผู้ให้สัมภาษณ์นาง
ชฏารัตน์บูรณ์เจริญ
1.ทัศนคติที่มีต่อผู้เข้าประกวดนางงามและถ้าหากมีบุตรหลานจะส่งเข้าประกวดหรือไม่
: “คนที่ประกวดนางงามต้องเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเองและมีความสามารถถ้าหากมีลูกเข้าไปประกวดก็จะสนับสนุน
เพราะถือว่าเป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งของลูก”
2.จากมุมมองภายนอกยังมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวการล็อคตำแหน่งอยู่หรือไม่ : “จากมุมมองของคนภายนอกยังมองว่ามีการล๊อคตำแหน่งในกับนางงามที่ใช้เส้นสายในการประกวดส่วนเรื่องชู้สาวนั้นไม่ขอแสดงความคิดเห็นเพราะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว”
3.ถ้าให้ตัวเองไปประกวดจะไปประกวดหรือไม่
: “ไม่เพราะไม่มีความมั่นใจในตนเองและยังสนในเรื่องการประกวดไม่มากพอ”
ผู้ให้สัมภาษณ์นาง
อัจฉราวัฒนอุดมสุข
1.ทัศนคติที่มีต่อผู้เข้าประกวดนางงามและถ้าหากมีบุตรหลานจะส่งเข้าประกวดหรือไม่
: “ถ้าเขาอยากประกวดก็จะส่งและสนับสนุนไม่ใช่อยู่ๆไปส่งโดยไม่ถามความสมัครใจค่ะ”
2.จากมุมมองภายนอกยังมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวการล็อคตำแหน่งอยู่หรือไม่
: “คิดว่ามันก็น่าจะมีนิดหนึ่งซึ่งก็ต้องมีบ้างจะบริสุทธิ์เสมอไปก็คงจะไม่ใช่ค่ะ”
3.ถ้าให้ตัวเองไปประกวดจะไปประกวดหรือไม่
: “ไม่ไปประกวดค่ะเพราะรู้สึกว่าไม่ใช่แนวตัวเองคงจะต้องมีการแอบเสแสร้งนิดหนึ่งเช่นคอยสวัสดีค่ะตลอด”
ผู้ให้สัมภาษณ์
นางสาว ปทิตตาเรียกศิริ
บทสัมภาษณ์ผู้จัดการประกวด
1.ใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสิน : “การประกวดรอบแรกอาจจะเป็นการให้คะแนนของรูปร่างหน้าตา
30 คะแนนการแต่งกายถูกต้องตามหลักเกณฑ์ 25 คะแนน บุคลิกภาพ 25 คะแนนแล้วการเดินบนเวที
ความสง่างาม อีก 20 คะแนนส่วนในรอบตัดสินจะให้คะแนนจากการสัมภาษณ์
คือคะแนนไหวพริบปฏิภาณการตอบคำถามตรงประเด็น”
2.หากใช้เงินซื้อตำแหน่งผู้ชนะในการประกวด
จะยอมทำหรือไม่ : “ไม่น่าจะมี เพราะถ้ามีการล็อคตำแหน่ง อาจส่งผลอื้อฉาวได้ และจะต้องมีคนไม่ยอม
มีคนประท้วง ซึ่งตัวผู้จัดก็จะพลอยเสียชื่อเสียง
เสียเครดิตด้านความน่าเชื่อถือไปด้วย”
3.ทำไมการประกวดตัดสินผู้ชนะ
ถึงไม่ใช้เกณฑ์การตัดสินจากคณะกรรมการเพียงอย่างเดียว
ทำไมจึงต้องมีการโหวตหรือซื้อลูกโปร่งให้คะแนน : “สาเหตุที่บางเหตุมีการขายลูกโป่งเพราะอาจมีการหารายได้ให้กับผู้จัดการประกวดและก็เพื่อเพิ่มสีสันให้กับงานซึ่งก็เช่นเดียวกันกับการโหวตให้คะแนน”
กรรมการการประปวดผู้ให้สัมภาษณ์
นาง นงลักษณ์ อุยสุย